faq

If your questions aren’t answered here, please contact us at Venlier Support. We’re happy to help!

เริ่มต้น ง่ายๆ ด้วย หลักการเลือกเพชรคือ มาตราฐาน 4Cs หลักนี้ยึดให้มั่น

C – Color : สีของเพชร : มีตั้งแต่เพชรที่เกือบไม่มีสี จนถึงสีเหลืองอ่อนๆ หรือสีน้ำตาล ซึ่งเป็นเกณฑ์ปกติของเพชร แต่ถ้ามีสีที่แตกต่างไปจากนี้เรียกว่าสีแฟนซี เช่น สีเหลือง สีดำ สีฟ้า เป็นต้น
เกรดสี ใช้สัญลักษณ์ภาษาอังกฤษ จะไล่ไปตั้งแต่ตัว “D” ถึง “Z” : D คือไม่มีสี : ยิ่งขาว ยิ่งดี แต่ราคาก็สูงตาม

C – Clarity : ความบริสุทธิ์ของเพชร : ปราศจากตำหนิภายใน และภายนอก
ใช้สัญลักษณ์ FL / IF – VVS – VS – SI – I : ตำหนิน้อย ยิ่งดี (IF-VVS) ทั้งภายนอกและใน

C – Cut : รูปแบบ และ การเจียระไน : คำนึงถึงการทำให้เพชรมีความสวยงามขึ้น บังตำหนิภายในได้ และน้ำหนักมากที่สุดให้เหมาะสมกับรูปร่างของเพชรดิบ ซึ่งต้องสัมพันธ์กับมุมและเหลี่ยม อีกด้วย เพื่อให้เกิดไฟ และประกายที่สมบูรณ์ที่สุด
เพชรเม็ดกะรัตสมควรเลือกเป็น 3 Excellent (EX) เท่านั้น คือ CUT GRADE (เหลี่ยมเพชร), POLISH (การเจียระไน), SYMMETRY (สัดส่วนของเพชร) และต้องไม่มีคือ FLORESCENCE (ประกายสีฟ้าอมม่วง) : NONE

C – Carat : น้ำหนักเพชร 
หน่วยของการวัดน้ำหนักของอัญมณี คือ กะรัต (Carat) ซึ่ง เพชร 1 กะรัต เท่ากับ 0.2 กรัม หรือ 200 มิลลิกรัม
และ เพชร 1 กะรัต เท่ากับ 100 สตางค์ (Point) ซึ่งนิยมเรียกติดปากว่า กี่ตัง หรือ กี่สตางค์
เช่น 0.25 กะรัต เท่ากับ 25 สตางค์

เพชร น้ำงาม เนื้อดีจะสวยไม่สวยขึ้นอยู่กับการเจียระไน เป็นสำคัญ โดยช่างจะต้องมีความชำนาญในการเจียระไน เพื่อให้ได้เหลี่ยมและรูปทรงที่ดีที่สุด และกินเนื้อเพชรน้อยที่สุดด้วย

1) ทรงกลม (Round) เป็นทรงที่นิยมมากที่สุด และรูปแบบการเจียระไนเพชรที่สวยที่สุดคือ “Brilliant Cut” หรือเรียกกันว่า “เหลี่ยมเกสร” มาตรฐานมีทั้งหมด 58 เหลี่ยม

2) ทรงสี่เหลี่ยม (Princess)

3) รูปทรงไข่ (Oval)

4) ทรงเม็ดข้าวสาร หรือ ทรงมาคีส์ (Marquise)

5) ทรงหัวใจ (Heart)

6) ทรงหยดน้ำ (Pear)

7) ทรงเหลี่ยมมรกต (Emerald) รูปทรงนี้ได้แรงบันดาลใจมาจากการเจียงานมรกต จะเป็นทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าถูกตัดมุมออก เป็นการเจียแบบขั้นบันได (Step Cut) แต่หากเป็นเหลี่ยมมรกตแต่มีสัดส่วนที่เท่ากัน เป็นจตุรัสจะเรียกว่า “Asscher Cut”

8) ทรงหมอน (Cushion) คล้ายรูปสี่เหลี่ยม หน้าจะตัด แต่มีความมน มีเหลี่ยมทั้งหมด 58 เหลี่ยม ประกายสวยงามคล้ายเพชรทรงกลมเลยทีเดียว รูปทรงนี้จะมีความวินเทจนิดๆ

9) ทรงเรเดียน (Radiant) ลักษณะคล้ายระหว่าง Cushion Cut และ Emerald Cut มีเหลี่ยมอยู่ที่ 70 เหลี่ยม มีความโมเดิร์น ลักษณะภายนอกจะเห็นเป็นมุมตัด ไม่มนแบบ Cushion ไม่เป็นทรงผืนผ้าแบบ Emerald

คือเพชรทรงกลม (Round) ที่มีรูปแบบการเจียระไน “Brilliant Cut” หรือ “เหลี่ยมเกสร” อย่างสมบูรณ์แบบ มีสัดส่วนที่พอดี เมื่อมองด้วยเลนซ์ขยายพิเศษเมื่อมองเห็นจากทั้งด้านล่างและบน จะเห็นเป็น รูปหัวใจ 8 ดวง และ ลูกศร 8 ดอก เท่าๆกัน ทำให้เพชรเปล่งประกาย สะท้อนแสงได้สมบูรณ์แบบมากที่สุด

เพชร เป็นคาร์บอดจัดเรียงตัวกันเป็นทรงแปดหน้า และเป็นแร่ๆหนึ่งที่แข็งที่สุดตามสเกลของโมส์ คือมีค่าความแข็งเท่ากับ 10 เพชรมีหลายสี แต่ที่นิยมมากที่สุดคือ สีขาวบริสุทธิ์

เพชรเทียม เป็นการนำเอาแร่ ที่มีลักษณะภายนอกคล้ายกับเพชร แต่ที่นิยมเป็นอย่างยิ่งคือ Synthetic Cubic Zirconia หรือ เพชร CZ เป็นเพชรเลียนแบบที่มีความเหมือนเพชรมากที่สุด มีความแวววาว และประกายเกือบเหมือนเพชร แต่ “CZ มีน้ำหนักที่มากกว่าเพชร เหลี่ยมจะมีความคม และลึกกว่า”

เพชรสังเคราะห์ (Synthetic Moissanite) คือ เพชรที่ผลิตขึ้นในห้องทดลอง โดยใช้ธาตุที่เป็นองค์ประกอบของเพชรแท้มาสร้าง มีคุณสมบัติทางเคมีที่เหมือนกับเพชรแท้ ทั้งทางกายภาพและโครงสร้างผลึก เพชรสังเคราะห์ ที่เครื่องแยกเพชรทั่วไป ไม่สามารถแยกได้ แต่จะสังเกตได้จากตำหนิที่อยู่ภายใน คือ ตำหนิเส้นเข็มที่จะวางในแนวตั้ง จาก Table ไปยัง Culet และ เมื่อใช้กล้องส่องดูจะเห็น Dubling คือ เห็นเส้นของเหลี่ยมต่างๆซ้อนกัน 2 เส้น

อีกวิธีในการแยกเพชรแท้และ เพชรปลอม คือการส่งเข้าห้อง LAB ซึ่งสามารถตรวจโดยผู้เชี่ยวชาญโดยตรง อย่างในประเทศไทย สามารถส่งได้ที่ สถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ GIT (The Gem and Jewelry Institute of Thailand)

เพชรประกบ หรือ เพชรต่อ (Illusion-Setting) คือ การคัดเพชรเม็ดเล็กที่มีคุณภาพขนาด เพื่อมาประกอบกัน เป็นเม็ดใหญ่ ให้เป็นรูปทรงต่างๆ เช่น ทรงกลม ทรงไข่ ทรงหยดน้ำ ทรงสี่เหลี่ยม ทรงหัวใจ และอื่นๆ เมื่อมองผ่านๆ จะดูเสมือนเพชรเม็ดใหญ่เลยทีเดียว เป็นการประหยัดงบประมาณไปได้มากเลยทีเดียว   ทั้งนี้การใช้เทคนิคนี้จะช่างจะต้องมีความชำนาญเป็นอย่างมาก ทั้งการคัดเลือกสี ขนาด คุณภาพของเพชร เพื่อให้ประกอบกันแล้วเสมือนเพชรเม็ดใหญ่ ที่มีประกาย และความสมบูรณ์แบบอย่างมากที่สุด  หากไม่มีความชำนาญ จะประกอบได้ไม่สม่ำเสมอ และให้ประกายเพชรที่ไม่สมบูรณ์ ทำให้เพชรเสียหายได้อีกด้วย

เพชรประกบทรงกลม (Round) : ประกอบด้วย เพชรรูปทรงรวงข้าว (Marquise) ขนาดเท่ากัน 4 เม็ด และเพชรทรงสี่เหลี่ยม (Princess) 1 เม็ด ประกบเข้าด้วยกัน เป็นรูปทรงกลมขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางขนาดต่างๆ เช่น 0.5 กะรัต 1 กะรัต 3 กะรัต

เพชรประกบรูปไข่ (Oval) : ประกอบด้วย เพชรรูปทรงรวงข้าว (Marquise) 4 เม็ด และเพชรทรงสี่เหลี่ยม (Princess) 2 เม็ด ประกบเข้าด้วยกัน

เพชรประกบทรงหยดน้ำ หรือ รูปแพร (Pear) : ประกอบด้วย เพชรรูปทรงรวงข้าว (Marquise) 3 เม็ด และเพชรทรงหยดน้ำ (Pear) 1 เม็ด ประกบเข้าด้วยกัน

เพชรประกบทรงมาคี (Marquise) : ประกอบด้วย เพชรรูปรวงข้าว (Marquise) 2 เม็ด และเพชรทรงสี่เหลี่ยม (Princess) 2 เม็ด ประกบเข้าด้วยกัน

เพชรประกบทรงเอมเมอรัล (Emerald) : ประกอบด้วย เพชรทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า (Baguatte) 5 เม็ด และเพชรทรงกลม 4 เม็ด ประกบเข้าด้วยกัน

เพชรประกบทรงหัวใจ (Heart) : ประกอบด้วย เพชรรูปรวงข้าว (Marquise) 6 เม็ด, เพชรทรงสี่เหลี่ยม (Princess) 4 เม็ด และเพชรทรงกลม (Round) 2 เม็ด

เพชรทรงสี่เหลี่ยม (Square / Princess) : ประกอบด้วย เพชรทรงสี่เหลี่ยม (Princess) เม็ด

1 การฝังแบบหนามเตย (Prong Setting) – เป็นรูปแบบการฝังที่นิยมมากที่สุด การฝังรูปแบบนี้ จะมีทั้ง 4 เตย(ขา), 5 หรือ 6 เตย นิยมกับเพชรทรงกลม แหวนหมั้น แหวนแต่งงาน

2 การฝังเพชรบนหนามเตย (Diamond Tipped) – เป็นการฝังที่ละเอียดมาก ต้องใช้ช่างที่มีความชำนาญ

3 การฝังแบบหัวเรือ (V Prong Setting) – เป็นการฝังที่มีลักษณะเป็นรูปตัว V ทำมุมกับเหลี่ยมของเพชรพอดี นิยมในทรงมาคี(Marquise), ทรงสี่เหลี่ยม(Princess), ทรงหัวใจ(Heart), ทรงหยดน้ำ(Pear)

4 การฝังจิกไข่ปลา (Pave Setting) – เป็นการฝังอีกรูปแบบที่นิยม โดยใช้เพชรเม็ดเล็กๆฝังใกล้ๆกัน เป็นแพให้เต็มพื้นที่แหวน คล้ายไข่ปลา

5 การฝังแบบไร้หนาม (Invisible Setting) – เป็นการฝังที่ค่อนข้างยาก ต้องใช้ช่างที่มีความชำนาญและ มีความปราณีตเป็นอย่างมาก นิยมฝังกับเพชรรูปทรงสี่เหลี่ยม (Princess) ที่ต้องฝังตั้งแต่ 2 แถวขึ้นไป โดยไม่มีขอบของโลหะมาคั้นกลาง

6 การฝังล็อค หรือฝังสอด (Channel Setting) – เป็นรูปแบบการฝังที่นำเพชรมาเรียงต่อกันเป็นแถวยาว เพชรจะถูกล็อคอยู่ในราง โดยไม่มีหนามเตย มาคั้นระหว่างเพชรแต่ละเม็ด

7 การฝังหุ้ม (Bezel Setting) – รูปแบบการฝังที่มีขอบทองมาหุ้มตัวเพชรไว้โดยรอบ ถือเป็นการฝังที่แข็งแรงที่สุดในการฝังทั้งหมด

8 การฝังแบบเหยียบหน้า (Flush Setting) – เป็นรูปแบบการฝังที่ตัวเพชรจะจมไปในเนื้อโลหะ คือหน้าเพชร จะเสมอกับตัวเรือน นิยมมากในแหวนผู้ชาย แหวนเกลี้ยง

9 การฝังแบบหนีบ (Tension Setting) – รูปแบบการฝังที่ใช้โลหะสองฝั่งในการยึดเกาะเพชรไว้ สามารถโชว์ความสวยงามของเพชรได้อย่างเต็มที่

10 การฝังแบบหนีบหลายๆเม็ด (Bar Setting) – ฝังเพชรเรียงต่อๆกัน โดยมีทองมาคั้นกลาง แต่ควรระมัดระวังในการสวมใส่ เนื่องจากเพชรมีพื้นที่ในการยึดติดกับตัวเรือนค่อนข้างน้อย

ราคาเพชรในตลาดโลกก็คล้ายกับสินค้าหลายๆอย่าง ที่มีตลาดราคากลาง เราคาเพชรก็เหมือนกันจะมีราคากลางที่เรียกกันว่า “Rapaport” ราพาพอร์ท มีหน่วยสกุลเป็น US Dollar อย่างในตลาดสากล ในการซื้อเพชรร้านค้าจะสามารถแสดงราคาในราพาพอร์ท แล้วแจ้งส่วนลดหรือบวกเพิ่ม จากราคากลาง อีกที เช่น เพชรที่ 1.20 กะรัต F color VVS1 ในแต่ละร้านจะมีส่วนลดจากราคากลางที่แตกต่างกัน แต่ต้องเทียบที่เงื่อนไขของเพชรเท่ากัน ร้านแรกให้ส่วนลด 6% ร้านที่สองให้ 4% ถ้าได้เปรียบเทียบแบบนี้แล้วจะรู้ราคาที่เหมาะสมอย่างแน่นอน ในฐานะผู้ซื้อ ก็สามารถขอดูราคากลางที่อัพเดทได้เช่นกันนะคะ จะได้มีความมั่นใจในการซื้อขายเพชรอีกด้วย

สัดส่วนที่ดี มีผลต่อความสวยงามของเพชร หากสั้น หรือผอม อ้วน จนเกินไป ความสวยงามย่อมลดลง การดูสัดส่วนจะพิจารณาที่กว้าง และ ยาว

รูปทรงไข่ (Oval) สัดส่วนที่ดีคือ 1.33 -1.66 : 1

รูปมาคีส์ (Marquise) สัดส่วนที่ดีคือ 1.75 – 2.25 : 1

รูปหยดน้ำ (Pear) สัดส่วนที่ดีคือ 1.50 – 1.75 : 1

รูปหัวใจ (Heart) สัดส่วนที่ดีคือ 1.00 : 1

รูปสี่เหลี่ยมมรกต (Emerald) สัดส่วนที่ดีคือ 1.50 – 1.75 : 1

Carat Weight : นำ้หนักของทับทิม และ แซฟไฟร์ มีหน่วยวัดเหมือนกับอัญมณีทั่วไป คือ 1 กะรัต(Carat)=0.2 กรัม (200 มิลลิกรัม)

Cut : รูปแบบการเจียระไนของพลอย

Color : สีของทับทิมและแซฟไฟร์ จะมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวโดยแตกต่างกันตามแต่ละประเทศที่ค้นพบ ซึ่งในทับทิมจะธาตุที่ประกอบด้วย โครเมียม และเหล็ก
ส่วนแซฟไฟร์ จะมีธาตุที่ประกอบด้วยไทเทเนียม และ เหล็กผสมอยู่ ทำให้สีที่ได้ขึ้นอยู่กับธาตุต่างๆเหล่านี้ด้วย

Transparency : ความโปร่ง ที่แสงสามารถส่งผ่านอัญมณีได้

-ไม่ ควรเก็บเครื่องประดับทับทิมไว้รวมกับเครื่องประดับอื่นโดยเฉพาะเพชร เนื่องจากเพชรเป็นอัญมณีที่มีความแข็งมากที่สุด ทำให้เกิดการขูดขีดทำให้ทับทิมเป็นรอยได้

-ไม่ควรเก็บทับทิมรวมในห่อเดียวกัน (กรณีที่ยังไม่เข้าตัวเรือน) เพราะอาจเกิดขูดขีดกันเองได้

-ควรเก็บในถุงหรือกล่องแยกชิ้นที่มีผ้านุ่มรอง

-การทำ ควารสะอาดใช้น้ำยาล้างจิวเวลรี่ผสมสบู่เหลวอ่อนๆ และปัดทำความสะอาดตามซอกมุม และด้านหลังด้วยแปรงขนนุ่ม และใช้ผ้านุ่มสะอาดซับ ผึ่งลมหรือเป่าให้แห้ง อย่างล้างด้วยเครื่องสั่นแบบอัลตราโซนิค (Ultra Sonic Cleaner)

-ไม่ควรสวมใส่เครื่องประดับทับทิมประกอบอาหาร เพราะสารพวกไฮโดรคาร์บอนจากควัน อาจมาเกาะทำให้หมอง หรือความวาวลดลงได้

-หลีกเลี่ยงการกระแทกกับของมีคม

-ไม่ ควรเก็บเครื่องประดับไพลินไว้รวมกับเครื่องประดับอื่น โดยเฉพาะเพชร เนื่องจากเพชรเป็นอัญมณีที่มีความแข็งแรงมากที่สุด ซึ่งอาจทำให้เกิดการขูดขีดทำให้ไพลินเป็นรอยได้

-ไม่ควรเก็บไพลินรวมในห่อเดียวกัน (กรณีที่ยังไม่เข้าตัวเรือน) เพราะอาจเกิดขูดขีดกันเองได้

-ควรเก็บในถุงหรือกล่องแยกชิ้นที่มีผ้านุ่มรอง

-การทำ ควารสะอาดใช้น้ำยาล้างจิวเวลรี่ผสมสบู่เหลวอ่อนๆ และปัดทำความสะอาดตามซอกมุม และด้านหลังด้วยแปรงขนนุ่ม หรือใช้เครื่องสั่นแบบอัลตราโซนิค (Ultra Sonic Cleaner) และใช้ผ้านุ่มสะอาดซับ ผึ่งลมหรือเป่าให้แห้ง

-ไม่ควรสวมใส่เครื่องประดับไพลินประกอบอาหาร เพราะสารพวกไฮโดรคาร์บอนจากควัน อาจมาเกาะทำให้หมอง หรือความวาวลดลงได้

-หลีกเลี่ยงการกระแทกกับของมีคม

-ไม่ ควรเก็บเครื่องประดับบุษราคัมไว้รวมกับเครื่องประดับอื่นโดยเฉพาะเพชร เนื่องจากเพชรเป็นอัญมณีที่มีความแข็งมากที่สุด ซึ่งอาจทำให้เกิดการขูดขีดทำให้บุษราคัมเป็นรอยได้

-ไม่ควรเก็บบุษราคัมรวมในห่อเดียวกัน เพราะอาจเกิดขูดขีดกันเองได้

-ควรเก็บในถุงหรือกล่องแยกชิ้นที่มีผ้านุ่มรอง

-การ ทำความสะอาดใช้น้ำยาล้างจิวเวลรี่ผสมสบู่เหลวอ่อนๆ และปัดทำความสะอาดตามซอกมุม และด้านหลังด้วยแปรงขนนุ่ม และใช้ผ้านุ่มสะอาดซับ ผึ่งลมหรือเป่าให้แห้ง

-หลีกเลี่ยงการสวมใส่ เครื่องประดับบุษราคัมประกอบอาหาร เพราะสารพวกไฮโดรคาร์บอนจากควัน อาจมาเกาะทำให้พลอยหมอง หรือความวาวลดลงได้ และควรระวังความร้อน หรือไฟ

-หลีกเลี่ยงการกระแทกกับของมีคม

-ไม่ ควรล้างมรกตในน้ำสบู่ เพราะมรกตส่วนใหญ่มักมีรอยแตกและผ่านการปรับปรุงคุณภาพโดยการใส่น้ำมัน (Oil Filling) ในรอยแตก การล้างสบู่อาจจะไปละลายน้ำมันรอยแตกออกมากได้ การทำความสะอาดคือใช้ผ้าชุบน้ำสบู่แล้วเช็ดตามด้วยผ้าแห้ง หรือใช้น้ำยาเช็ดกระจกพ่นแล้วใช้ผ้าเช็ดก็ได้

-ไม่ควรสวมใส่เครื่องประดับมรกตเวลาออกกำลังกาย หรือทำงานบ้าน เพราะจะทำให้เกิดรอยขูดขีดหรือแตกร้าวได้ง่าย เนื่องจากมรกตมีความเปราะ

-อย่า เก็บมรกตหรือสวมใส่ในที่ร้อนเช่น หน้าเตาไฟ หรือกลางแจ้ง เพราะความร้อนจะทำให้สารที่อุดในรอยแตกระเยะ และทำให้เกิดฝ้าขาวในรอยแตกนั้นๆได้

-ควรเก็บเครื่องประดับในถึงหรือกล่องแยกชิ้นที่มีผ้า หรือของนุ่มๆรองรับไว้ภายใน

-วิธี ที่ดีที่สุดในการทำความสะอาดมรกตด้วยตัวเอง คือ ใช้น้ำยาล้างจิวเวลรี่ หรือน้ำอุ่นผสมกับสบู่เหลวอ่อนๆ และปัดทำความสะอาดตามซอกมุม และด้านหลังด้วยแปรงขนนุ่ม อย่างล้างด้วยเครื่องอุลตราโซนิค

-ควรหลักเลี่ยงการกระแทก ของมีคมและเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิกระทันหัน หรือปล่อยไว้ในที่ๆมีอุณหภูมิสูงหรือต่ำเกินไป

1.เนื่องจากมุกประกอบด้วยสารพวก Calcium cabonate ซึ่งมีความแข็งน้อย ดังนั้น การสวมใส่มุกจึงควรระมัดระวังการขูดขีดหรือการกระแทก

2.คุณ ค่าของมุกอยู่ที่ความมันวาว ความโปร่งใส ความละเอียดของผิวเนื้อ รูปร่างและขนาด ลักษณะธรรมชาติการเกิดของไข่มุก ทำให้ต้องระวังดูแลเป็นอย่างดี ควรวางให้ห่างจากของเหลวที่เป็นสารสังเคราะห์ การสวมใส่บนผิวที่มัน หรือผิวที่ตกแต่งด้วยเครื่องสำอางค์ อาจทำให้มุกเสียหายได้

3.ควรเก็บมุกแยกต่างหากจากเครื่องประดับอื่น เพื่อป้องกันการขูดขีด

4.ควร ระวังไม่ให้โดนสารที่มีฤทธิ์เป็นกรด หรือสารเคมีต่างๆ เช่น น้ำหอม เครื่องสำอางค์ สเปรย์จัดแต่งผม น้ำส้มสายชู คลอรีน แอมโมเนีย หรือสีหมึก เนื่องจากสาร Calcium Carbonate จะทำปฏิกิริยากับกรด และสารที่มีสีต่างๆ สามารถถูกดูดซึมเข้าสู่โครงสร้างได้ง่าย

5.ห้ามล้างเครื่องประดับมุกด้วยน้ำยาล้างเครื่องประดับที่มีส่วนประกอบของแอมโมเนีย

6.อย่าเก็บมุกไว้ในที่แห้ง เพราะจะทำให้มุกเกิดรอยร้าวได้

7.ความร้อนจากหลอดไฟอาจทำให้มุกเกิดรอยร้าวได้

วิธีทำความสะอาดมุก

1.หลังการสวมใส่มุก ใช้ผ้าขนหนูเนื้อนุ่มชุบน้ำอุ่นเบาๆก่อนเก็บ เพื่อเช็ดคราบและเครื่องสำอางค์ออก

2.อย่าล้างเครื่องประดับมุกด้วยน้ำยาล้างจิวเวลรี่ทั่วไป หรือทำความสะอาดด้วยเครื่องอุลตราโซนิค เพราะอาจทำให้ไข่มุกเสียหายได้

3.การขัดมุกเพื่อเอารอยแตก หรือรอยร้าวที่ผิวออกสามารถกระทำได้ในกรณีที่มุกมีชั้นมุกหนา

4.ควรระวังการถูกขีดข่วนและของแหลมคม

1. เจียแบบซูการ์ลอฟ (Sugarloft)

2. เจียเหลี่ยมเพชร หรือ เหลี่ยมเจ้าหญิง

3. เจียเหลี่ยมฝรั่งเศส

4. เจียเหลี่ยมหลังเบี้ย

งานจิวเวลรี่ มีความละเอียดอ่อน ต้องใช้ช่างที่มีความชำนาญสูง โดยในตลาดทองทั่วไป ไม่ว่าจะเยาวราช หรือตามห้างร้านส่วนใหญ่ ถ้าเราซื้อทองแท่ง สร้อยทอง มักจะอยู่ที่ 96.5%

แล้วทำไมถึงไม่ใช้ทองที่ 99.99% หรือทอง 24K เพราะ ทองคำ ยิ่งมีปริมาณเนื้อทองบริสุทธิ์มาก เนื้อจะค่อนข้างนิ่ม ทำให้ไม่สามารถทำลวดลายหรือการเก็บรายละเอียดได้มาก และยิ่งถ้านำมาฝังประดับกับเพชร และ พลอยด้วยแล้ว ยิ่งทำให้ ความคงรูปมีน้อยลง และไม่นิยมใช้เนื้อทองที่ 91.60% หรือ 22K แม้จะได้เนื้อทองที่เปอร์เซ็นต์ค่อนข้างสูง แต่การฝังเพชรพลอยลงบนตัวเรือนอาจจะหลุดได้ง่าย

ดังนั้นในวงการ เครื่องประดับพวกแหวน, สร้อยคอ, ต่างหู, กำไลที่มี เพชร และ พลอย ประดับ จะนิยมใช้ทอง18K ซึ่งเป็นจุดสมดุลที่ได้เนื้อทองที่เปอร์เซ็นต์ทองที่ค่อนข้างสูง คือ 75.00% และได้ตัวเรือนที่แข็งแรงสามารถเล่นดีไซน์ ลวดลายต่างๆได้ ทั้งในเรื่องการฝังเพชร พลอยจะไม่ค่อยมีปัญหาในเรื่องของเพชรพลอยหลุดง่าย

แต่ ในบางประเทศอย่างออสเตรเลียและสหรัฐอเมริกา นิยมใช้ 14K (58.50%) และ 9K (37.50%) เพื่อให้ได้ราคาและต้นทุนที่ถูกลง เนื่องจากใช้เปอร์เซ็นต์เนื้อทองที่ต่ำ  เพราะฉะนั้น ทองบริสุทธิ์ 99.99 ที่ 75% หรือ สัญลักษณ์ตัวเลขที่ตีลงบนทองคือ 18K หรือ 750 จึงเป็นมาตรฐานที่ทั่วโลกนิยมใช้กัน

ทองที่ใช้จะเป็นทอง 99.99% โดยใช้สัดส่วนที่ 75% และอีก 25% ที่เหลือ จะผสมเนื้ออัลลอย สีต่างๆ เพื่อให้ได้สีตามแบบ เช่น

–สีขาว : ใช้ทอง 99.99% ในสัดส่วน 75% และอีก 25% ใช้ส่วนผสมของนิกเกิล อัลลอย หรือ พาลาเดียม (Palladium)**[**ในส่วนการผลิตโดยใช้พาลาเดียม จะมีเพียงบางประเทศในแถบยุโรป ที่ค่อนข้างเข้มงวดเรื่องการแพ้นิกเกิล  จะมีการใช้พาลาเดียมในการผลิตแทน แต่ด้วยราคาของพาลาเดียมที่สูง จึงทำให้ไม่ค่อยเป็นที่นิยมมากนัก] ทำให้ออกมาเป็นสีขาว หรือที่เรียกว่า ทองขาว (White Gold)

–สีชมพู : ใช้ทอง 99.99% ในสัดส่วน 75% และอีก 25% ใช้ส่วนผสมของ คอปเปอร์อัลลอย เพื่อให้ได้สีชมพู หรือที่เรียกว่า ทองชมพู (Pink Gold)

–สีเหลือง : ใช้ทอง 99.99% ในสัดส่วน 75% และอีก 25% ใช้ส่วนผสมของ ซิลเวอร์อัลลอย เพื่อให้ได้สีเหลือง หรือที่เรียกว่า ทองคำสีเหลือง (Yellow Gold)

เครื่อง ประดับงานจิวเวลรี่ มักนิยมออกแบบให้มีสีสันสลับกัน เพื่อเป็นการเพิ่มลูกเล่น ทองสีชมพูก็เป็นอีกรูปแบบหนึ่งซึ่งมีความนิยมเป็นอย่างมาก โดยสีชมพูที่เราเห็นบนตัวเรือน คือเนื้อทอง 99.99 ที่ 75% และที่เหลืออีก 25% ใช้ส่วนผสมของ คอปเปอร์อัลลอย เพื่อให้ได้สีชมพู

     ในเมืองไทย มักจะสับสนในการเรียกทองคำขาวและ ทองขาว กันอย่างมาก เพราะชื่อที่แปลออกมา “White Gold” มักจะถูกแปลเป็น “ทองคำขาว” ซึ่งอาจไม่ถูกต้องนัก เนื่องจาก White Gold จะมีส่วนผสมของทอง และเนื้อโลหะอัลลอยสีขาวผสมอยู่ ซึ่งถ้าจะเรียกให้ถูกต้อง จะต้องเรียกว่า “White Gold” = “ทองขาว”

ส่วน แพลทินัม  หรือบางคนเรียกเป็นทองคำขาว จะเป็นชื่อของแร่ “Pt” ซึ่งไม่มีส่วนผสมของทองคำเลย เราควรจะเรียกไปเลยว่า “แพลทินัม”(Platinum) แทนการเรียกทองคำขาว ซึ่งอาจทำให้สับสนได้ง่าย

ทั้งนี้แพลทินัม มีความแข็ง, ยืดหยุ่นและเหนียวกว่าทองคำ โดยแพลทินัมที่นำมาทำเครื่องประดับจิวเวลรี่ จะให้แพลทินัม ที่ 90-95% ส่วนอีก 5-10 % คือ อัลลอย หรือสังเกตได้จากตัวเลขที่อยู่บนตัวเรือน “900” คือแพลทินัม 90% และ อัลลอย 10% หรือ ตัวเลข “950” คือแพลทินัม 95% และ อัลลอย 5%

และในอดีตแพลทินัม มีราคาที่สูงกว่าทองคำมากถึง 2-3 เท่า แต่ปัจจุบันความนิยมใช้เริ่มลดน้อยลง ราคาจึงลงมามาก ซึ่งปัจจุบันราคาของทองคำและแพลทินัมค่อนข้างใกล้เคียงกัน โดยราคาทองคำจะสูงกว่าเพียงเล็กน้อย

โดยทองขาวที่เวนเลียร์ผลิตจะให้ทองคำ 99.99 ที่ 75% และใช้อัลลอยอื่นๆอีก 25% หรือเราเรืยกว่า ทอง 18K

การ ใช้เครื่องประดับอัญมณีอย่างเพชรและพลอย ต้องมีการดูแลอย่างดี ตั้งแต่การสวมใส่และการเก็บรักษา ควรระมัดระวังอยู่เสมอในการใส่ เพราะหากเราไม่เปลี่ยนพฤติกรรมในการสวมใส่ เครื่องประดับอัญมณีอาจได้รับความเสียหาย ทั้งจากการกระแทก การกระทบกับสิ่งของ จนทำให้เกิดเป็นรอยได้

     วิธีการดูแลรักษาเครื่องประดับ อัญมณี ไม่ว่าจะเป็น แหวนเพชร, ตุ้มหู(ต่างหู), สร้อยคอ, กำไล และจี้  ท่านสามารถดูแลได้ทุกครั้ง หลังการสวมใส่ เหมือนกับการแปรงฟัน โดยการใช้น้ำยาล้างจานอ่อนๆ พร้อมกับแปรงสีฟันขนนุ่มพิเศษ ถูเบาๆ หลังจากนั้น ซับให้แห้งสนิท หรือใช้เครื่องเป่าผม เป่าห่างๆให้แห้งสนิท แล้วจึงเก็บเข้ากล่อง
เครื่องประดับจิวเวลรี่ ควรได้รับการตรวจสอบและดูแล อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง โดยท่านสามารถให้ร้านที่ท่านซื้อ ทำความสะอาด และตรวจสอบว่าเพชร พลอย หลุด หลวมอยู่หรือไม่ เพื่อความสวยงามและมั่นใจในการสวมใส่

หาก ท่านนิยมใส่เครื่องประดับหรือจิวเวลรี่ในชีวิตประจำวัน โดยไม่ชอบถอดออกเพื่อมาทำความสะอาดเลย ท่านอาจเลือกสวมใส่งานเงิน งานฝังเพชรรัสเชีย หรือพลอยเทียม จะสวมใส่ง่ายกว่า ทั้งประหยัดงบประมาณ และไม่ต้องกังวลกับเพชร หรือพลอยที่อาจจะแตก หรือบิ่นในระหว่างการสวมใส่อีกด้วย และใช้งานเพชรแท้เฉพาะออกงานสำคัญต่างๆ

_เมื่อไม่ได้ใส่ ควรเก็บเข้ากล่องทุกครั้ง ไม่ควรวางบนโต๊ะ เพราะอาจทำให้เป็นรอยได้

_หลีกเลี่ยงการใส่เครื่องประดับลงน้ำ ทั้งน้ำทะเลและ สระว่ายน้ำที่มีคลอรีน

_สวม ใส่เครื่องประดับ หลังการใช้ครีมโลชั่น, สเปรย์ผม, เครื่องสำอางค์ และน้ำหอม เสร็จเรียบร้อย เพื่อยืดอายุความเงางาม เพราะไม่เช่นนั้น จะทำให้เครื่องประดับหมองได้

_โอปอล, ไข่มุก, เทอร์คอยส์ มีความไวต่ออุณหภูมิค่อนข้างมาก ควรหลีกเลี่ยงแสงแดด หรือวางไว้ในรถที่ตากแดด

ท่านสามรถติดต่อได้ในวันทำการ วันจันทร์ ถึง วันศุกร์ ตั้งแต่ 9.00 – 18.00 น. และวันเสาร์ 9.00 – 17.00 น.ในบางสัปดาห์

ท่าน สามารถเข้ามาเยี่ยมชม หน้าร้านของเวนเลียร์ได้ตลอดวันและเวลาทำการ โดยเวนเลียร์ จิวเวลรี่ มีความยินดีเป็นอย่างยิ่ง หากท่านประสงค์จะแจ้งเวลาเยี่ยมชม ล่วงหน้า เพื่อเป็นการต้อนรับอย่างอบอุ่น และอำนวยความสะดวกสบายให้กับท่านมากยิ่งขึ้น

__เวนเลียร์ จิวเวลรี่ ตั้งอยู่ ถนนรัชดาภิเษก-พระราม 3 ซอยเจริญราษฎร์ 7 แยก 10 หมู่บ้านเบญจธานี

ท่าน สามารถ ลงทางด่วนขั้นที่ 2 ออกทางลง บางโคล่ (ทางออกที่ 2-14) แล้ว กลับรถใต้สะพานแขวน เพื่อชิดซ้าย เลี้ยวเข้าซอย เจริญราษฎร์ 7 ตรงเข้ามาประมาณ 100 เมตร ท่านจะเห็นป้ายซ้ายมือชื่อ “หมู่บ้านเบญจธานี” ให้เลี้ยวเข้าหมู่บ้าน แล้วตรงเข้ามากลางซอย บริษัทจะอยู่ขวามือ

หาก ท่านเดินทางด้วยวงแหวนกาญจนภิเษก-วงแหวนอุตสาหกรรมให้ท่านลงถนนพระราม 3 เมื่อถึงแยกไฟแดง ให้ท่านเลี้ยวขวา ขับตรงมาจนถึงแยก ถนนรัชดาภิเษกให้ท่านเลี้ยวขวา แล้วชิดซ้ายเพื่อเลี้ยวซ้ายเข้าซอยเจริญราษฎร์ 7 ตรงเข้ามาประมาณ 100 เมตร ท่านจะเห็นป้ายซ้ายมือชื่อ “หมู่บ้านเบญจธานี” ให้เลี้ยวเข้าหมู่บ้าน แล้วตรงเข้ามากลางซอย บริษัทจะอยู่ขวามือ

หรือหากท่านให้ แอพลิเคชั่น สามารถพิม “เวนเลียร์ จิวเวลรี่” “Venlier Jewelry” เพื่อทำการนำทาง 13.6876406,100.520284

ใน ทุกๆครั้งที่ท่านได้สั่งซื้อเครื่องประดับจากทาง เวนเลียร์ จิวเวลรี่ ท่านจะได้รับใบเสร็จรับเงินพร้อมใบรับประกันสินค้าโดยมีรายละเอียดเกี่ยวกับ วันที่สั่งซื้อ รูปแบบสินค้า, รหัสสินค้า, ประเภทและน้ำหนักอัญมณี รวมถึงประเภทและน้ำหนักของตัวเรือนทอง  โดยสินค้าของเวนเลียร์ จิวเวลรี่ ทุกชิ้นมีการรับประกันจากทางเวนเลียร์ จิวเวลรี่ โดยมีเงื่อนไขตามที่ได้ระบุไว้

ใน กรณีต้องการเปลี่ยนคืนสินค้า ท่านสามารถขอเปลี่ยนคืนได้ โดยหัก 30% จากมูลค่าเดิม และชิ้นใหม่ที่แลกต้องมีมูลค่าสูงกว่าชิ้นที่นำมาเปลี่ยนคืน

เวน เลียร์จิวเวลรี่ยินดีให้บริการ ให้คำแนะนำ เป็นที่ปรึกษาให้การเลือกซื้อ และใช้งานเครื่องประดับตลอดอายุการใช้งาน  โดยในทุกๆปีท่านสามารถนำเครื่องประดับมาทำความสะอาด ตรวจสอบความแข็งแรงมั่นคงของเพชร พลอย ว่าล็อคแน่น หรือเครื่องประดับบางชิ้นที่ท่านซื้อไปนานแล้ว ท่านอยากขัดชุบสีใหม่ ทางเวนเลียร์ยินดีให้บริการฟรีสำหรับเครื่องประดับจากเวนเลียร์

ท่านสามารถติดต่อเวนเลียร์ จิวเวลรี่ ได้ผ่านทาง
มือถือ 081-829-4424
โทรศัพท์ 02-683-7788, 02-683-9988
Fax : +662-683-8400

E-mail : [email protected]

https://www.facebook.com/VENLIER

https://www.instagram.com/VENLIER

https://www.pinterest.com/VENLIER

LINE ID : VENLIERSHOP

www.VENLIER.com

ท่านสามารถเลือกซื้อเครื่องประดับจากเวนเลียร์ได้ทั้งทางออนไลน์ และหน้าร้าน อีกทั้งท่านสามารถออกแบบเองและสั่งทำได้ (made to order)