เลือกซื้อเพชรอย่างไร ไม่ให้โดนหลอก

เลือกซื้อเพชรอย่างไร ไม่ให้โดนหลอก หลักมาตรฐาน 4cs วิธี สี ความสะอาด การเจียระไน น้ำหนัก

.        หากจะซื้อเพชร ถ้าเราไม่มีข้อมูลอะไรเลย อาจจะโดนหลอกได้ง่ายๆ หรือได้ราคาที่ไม่สมกับคุณภาพสักเท่าไร เพชร ก็เหมือนสินค้าตัวหนึ่งที่มีราคากลาง มากำหนด แต่เราจะรู้ได้อย่างไร ฉะนั้น เรามาดูหลักเกณฑ์ คร่าวๆ ในการกำหนดเกรด หรือคุณภาพของเพชรกัน ว่าจะ เลือกซื้อเพชรอย่างไร ไม่ให้โดนหลอก ตามหลักมาตรฐาน 4cs

โดยมีดังนี้ COLOR – CLARITY – CUT – CARAT

C – Color : สีของเพชร

.        โดยจะเริ่มจากใสไม่มีสี ไปจนถึงสีเหลืองที่เริ่มเข้มขึ้นเรื่อยๆ หลักจำง่ายๆคือ “ยิ่งขาว ราคายิ่งสูง”  ซึ่งใช้สัญลักษณ์ อักษรภาษาอังกฤษเริ่มตั้งแต่ D จนถึง Z ซึ่ง D มีความใสไร้สีมากที่สุด หรือคนไทยจะเรียกแทน D ว่า “น้ำ” เช่น น้ำ 100, น้ำ 99, น้ำ 98 เป็นต้น
ดูอย่างง่ายๆจะถูกแบ่งกลุ่มคร่าวๆดังนี้

VL_web_pic_4c-01 color

กลุ่มที่ 1 : D, E, F   จัดอยู่ในหมวดเพชรใส ไม่มีสี (Colorless)
กลุ่มที่ 2 : G, H      จัดอยู่ในหมวดเพชรเกือบไร้สี มีติดนวลเล็กน้อย (Near Colorless)   คือมองด้วยสายตาคนปกติ จะเห็นว่าเพชรยังขาวใสอยู่
กลุ่มที่ 3 : I, J         จัดอยู่ในหมวดเพชรติดนวลมากขึ้น (Near Colorless Slightly Tinted)
กลุ่มที่ 4 : K, L, M  จัดอยู่ในหมวดเพชรติดเหลืองอ่อนๆ (Faint Yellow)
กลุ่มที่ 5 : N-R       จัดอยู่ในหมวดเพชรติดเหลือง (Very Light Yellow)
กลุ่มที่ 6 : S-Z       จัดอยู่ในหมวดเพชรเหลือง(Yellow)
กลุ่มที่ 7 : เป็นเพชรแฟนซี (Fancy)

.        สีเพชรที่ไม่แนะนำให้เลือกซื้อสักเท่าไร คือกลุ่มที่เริ่มติดนวลมากขึ้นคือ กลุ่มที่ 3 เป็นต้นไป คือ I, J, K
ส่วนกลุ่มที่ 2 (G, H) จะติดนวลซึ่งตลาดแถบอเมริกาและยุโรป จะนิยมมากกว่า ส่วนตลาดเอเชียนั่นจะชื่นชอบเพชรกลุ่มสีขาว (D, E, F) เป็นพิเศษ

.        วิธีดูสีเพชร แบบง่ายๆ นำเพชร 2 เม็ดมาเทียบกัน คว่ำหน้าเพชรลงบนกระดาษสีขาว ใช้ไฟแสงสีขาว เอียงกระดาษ ประมาณ 45 องศา สังเกตุสีที่แตกต่างกัน

C – Clarity : ความสะอาดของเพชร

.        การจัดเกรดจะขึ้นอยู่กับว่าตำหนิ เห็นได้ชัดหรือไม่ มีจำนวนมากหรือน้อย ขนาดเล็กหรือขนาดใหญ่ และตำหนินั้นมีผลกระทบกับตัวเพชรมากน้อยเท่าไร
โดยจำแนกตามหลักสากลได้ดังนี้

VL_web_pic_4c-03 clarity

1. FLAWLESS (FL) : เพชรที่ไม่มีตำหนิหรือมลทินใดๆในทั้งเนื้อเพชรและผิวของเพชร เมื่อมองภายใต้กล้องขยาย 10 เท่า

2. INTERNALLY FLAWLESS (IF) : เพชรที่ไม่มีตำหนิภายในเนื้อเพชรเลย เมื่อมองภายใต้กล้องขยาย 10 เท่า

3. VERY VERY SLIGHTLY INCLUDED (VVS1, VVS2) : เพชรที่มีตำหนิในเนื้อเพชรน้อยมากๆ ไม่สามารถเห็นได้ด้วยตาเปล่า จะต้องใช้กล้องกำลังขยาย 10 เท่าส่องจึงจะเห็น
จำแนกออกเป็น 2 ระดับ หากตำหนิน้อยมากจะใช้ VVS1 หากตำหนิที่สามารถเห็นได้ชัดมากขึ้นจะใช้ VVS2

4. VERY SLIGHTLY INCLUDED (VS1, VS2) : เพชรที่มีตำหนิในเนื้อเพชรน้อย ไม่สามารถเห็นได้ด้วยตาเปล่า จะต้องใช้กล้องกำลังขยาย 10 เท่าส่อง จึงจะเห็น

5. SLIGHTLY INCLUDED (SI1, SI2) : เพชรที่มีตำหนิ ที่สามารถมองเห็นได้ ภายใต้กล้องกำลังขยาย 10 เท่าและบางกรณีสามารถเห็นได้ด้วยตาเปล่า แต่จะมีขนาดที่เล็กซึ่งอาจจะต้องสังเกต

6. INCLUDED (I1, I2, I3) : เพชรที่มีตำหนิ ที่สามารถเห็นด้วยตาเปล่าได้อย่างชัดเจน

สิ่งที่สำคัญที่ต้องหลีกเลี่ยง เวลาซื้อเพชร คือ
1. เพชรที่มีตำหนิค่อนข้างมาก (ตั้งแต่ SI1 ถึง I3)
2. เพชรที่มีตำหนิขึ้นหน้า คือสามารถมองเห็นจาก ด้านบนของหน้าเพชร
3. เพชรที่มีไฝดำหรือในใบเซอร์อาจเรียกว่า “Crystal”

C – Cut : การเจียระไน

.        บอกถึงรูปร่าง และอัตราส่วนของเพชรเม็ดนั้นๆ เพชร จะสวยไม่สวยสิ่งสำคัญขึ้นอยู่กับการเจียระไน โดยการเจียระไนเพชรทรงกลมที่นิยมมากที่สุด คือ การเจียระไนแบบ บริเลี่ยน (Brilliant Cut) ซึ่งเป็นรูปแบบสากลในตลาดการค้าขายอัญมณี และเป็นการเจียระไนที่สูญเสียเนื้อเพชรน้อยที่สุด และทำให้เพชรมีไฟสวยที่สุด โดยมีรูปทรงต่างๆ เช่น ทรงกลม (Round), ทรงสี่เหลี่ยม (Princess), รูปทรงไข่ (Oval), ทรงเม็ดข้าวสาร หรือ ทรงมาคีส์ (Marquise), ทรงหัวใจ (Heart), ทรงหยดน้ำ (Pear), ทรงเหลี่ยมมรกต (Emerald), ทรงหมอน (Cushion), ทรงเรเดียน (Radiant) และทรงแฟนซี

การคัดเกรดการเจียระไน โดยจัดระดับคุณภาพตามเพชรกลม (Round Brilliant) จะแบ่งเป็น 5 ระดับ
1.Excellent (EX)
2.Very Good (VG)
3.Good (G)
4.Fair (F)
5.Poor (P)

โดยมีคุณสมบัติ 4 ประการที่จะต้องพิจารณา และสมควรเลือกเป็น 3Excellent กับอีกหนึ่ง None ในใบรับรองเพชร คือ
1. CUT GRADE (เหลี่ยมเพชร) : EXCELLENT
2. POLISH (การเจียระไน) : EXCELLENT
3. SYMMETRY (สัดส่วนของเพชร) : EXCELLENT
หรือที่เรามักคุ้นเคยกันดี ที่เรียกกันว่า 3EX
และคุณสมบัติสุดท้าย ที่ต้องดูคือ
4. FLORESCENCE (ประกายสีฟ้าอมม่วง) โดยมีการจัดระดับ 5 ระดับคือ None, Faint, Medium, Strong และ Very strong ซึ่งในการซื้อเพชร เราควรจะเลือก None คือไม่มีประกายฟ้าอมม่วงเลย

.        จากภาพด้านล่าง จะเห็นได้ว่า หากเพชรมีสัดส่วนการเจียระไนที่ไม่ดีแล้ว การกระจายแสงหรือประกายของเพชรก็จะไม่สวยเท่ากับเม็ดที่เจียระไนที่ได้สัดส่วนที่สมบูรณ์

VL_web_pic_4c-04 diamond ideal cut excellent

.        ตัวอย่าง ภาพด้านล่าง  เพชร 3 เม็ดนี้ มีความแตกต่างกันที่การเจียระไน
ซึ่งสังเกตได้ว่า เพชรสวยหรือไม่ ดูจากการเจียระไนที่ดี ซึ่ง เม็ดซ้ายสุด จะมีประกาย และการสะท้อนของแสงที่ชัดเจนมีความสมดุลกัน มีระดับการเจียระไนแบบ Excellent (EX), เม็ดกลาง เป็นการเจียระไนระดับ Good (G) และเม็ดขวามือ เจียระไนแบบ Poor (P)

example gia diamond cut excellent

 

C – Carat Weight : น้ำหนักเพชร

.        ขนาดน้ำหนักเพชร ยิ่งมาก ราคาก็ยิ่งสูง โดยถ้าจะซื้อเพชรที่น้ำหนักตั้งแต่ 0.30 กะรัตขึ้นไปควรซื้อพร้อมใบรับรองหรือใบเซอร์ ซึ่งเพชรแต่ละเม็ดจะมีน้ำหนัก แตกต่างกัน โดยหน่วยของการวัดน้ำหนักของอัญมณี คือ กะรัต (Carat)
ซึ่งน้ำหนักของเพชร 1 กะรัต เท่ากับ 0.2 กรัม หรือ 200 มิลลิกรัม

.        และ เพชร 1 กะรัต เท่ากับ 100 สตางค์ (Point) ซึ่งนิยมเรียกติดปากว่า กี่ตัง หรือ กี่สตางค์ เช่น เพชรเม็ดนี้หนัก 1.23 กะรัต คือ น้ำหนัก 1 กะรัต 23 สตงค์ หรือ เพชร 0.5 กะรัต คือเพชร 50 สตางค์นั้นเอง
ซึ่งมูลค่าของเพชร ถ้ายิ่งเม็ดใหญ่ อย่าง 1 กะรัตขึ้นไป ราคาต่อกะรัตก็จะยิ่งสูงกว่า เม็ดเล็กอย่าง 50 สตางค์ หรือ 30 สตางค์

.        เพียงแค่นำหลักการเหล่านี้ไปใช้ ไปลองฝึกเทียบแต่ละเม็ด เราก็จะซื้อเพชรได้แบบผู้รู้ และยังได้ประหยัดเงินในกระเป๋าสตางค์อีกด้วย

Admin